ถ้าหากพูดถึงผงกาแฟแล้วหลายคนก็จะนึกถึงผงกาแฟซองละ 5 บาท 10 บาท ตามร้านค้าใช่ไหมสำหรับการผลิตกาแฟผงกึ่งสำเร็จรูป เอาไว้ชงกับน้ำร้อน จะเป็นการสกัดเอาองค์ประกอบของกาแฟมาทำให้เป็นของแข็งที่สามารถละลายได้ในน้ำในลักษณะของผงหรือเกล็ดขนาดเล็ก
แน่นอนว่า หลายคนก็มักจะนึกถึงวัตถุดิบ โดยมีวัตถุดิบหลักนั่นก็คือกาแฟกะลา ที่นำมาผ่านกระบวนการให้กลายเป็นกาแฟดิบ มีทั้งสายพันธุ์อาราบิก้า และโรบัสต้า บางยี่ห้อก็นำเอาทั้งสองสายพันธุ์มาผสมกันเพื่อให้เกิดความลงตัวในรสชาติที่แปลกออกไป โดยอัตราส่วนที่นำมาผสมก็จะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแบรนด์กาแฟนั้นๆ ว่าต้องการให้รสและกลิ่นออกไปในทิศทางไหนเป็นพิเศษ
และเพื่อการนั้นหลังจากผ่านกระบวนทั้งหมดเพื่อให้ได้มาซึ่งสารกาแฟจนเข้าสู่ขั้นตอนการบดในระดับความหยาบละเอียดต่างกัน ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญ นั่นก็คือการสกัดเพื่อแยกเอาส่วนที่สามารถละลายน้ำได้ของกาแฟมาทำเป็นของแข็ง โดยจะสกัดจนได้ความเข้มข้นของสารละลายที่ 15-25 เปอร์เซ็นต์ ก่อน ซึ่งการสกัดแบ่งออกเป็น 3 วิธีด้วยกัน คือ
1.วิธีการสกัดแบบ Percolation Batters ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนการสกัดที่ได้รับความนิยมกันทั่วไป กาแฟที่ผ่านการคั่วแล้วจะถูกนำบรรจุลงภาชนะผ่านความร้อนเข้า ให้ได้น้ำกาแฟที่ปล่อยออกมาสู่ภาชนะชิ้นถัดไป ซึ่งอุณหภูมิที่ใช้จะอยู่ที่ 175 องศาเซลเซียส ก่อนนำเข้าสู่การทำแห้งเพื่อให้ได้ของแข็งต่อไป ซึ่งอาจจะใช้เวลานานสักหน่อย
2.วิธีสกัดแบบ Countercurrent System ถือได้ว่าเป็นการสกัดให้ได้กาแฟที่มีระบบไหลสวนทาง เริ่มต้นด้วยการนำกาแฟที่บดแล้วเข้าสู่ภาชนะความคุมอุณภูมิที่เป็นรูปทรงกลม จากนั้นจะถูกนำขึ้นสู่ด้านบนด้วยสกรูที่มีเกลียวหมุนประมาณ 10-22 รอบ/ชั่วโมง ส่วนน้ำร้อนที่ใช้จะไหลลงมาจากด้านบน น้ำกาแฟที่ได้จะถูกปล่อยให้ไหลลงด้านล่าง โดยใช้อุณหภูมิปริมาณ 180 องศาเซลเซียส อาจจะทำยากไปสักหน่อยแต่ก็สามารถทำให้เกิดผงกาแฟแปลก ๆ ได้
3.วิธีสกัดแบบ Slurry Extractionถือได้ว่าเป็นวิธีที่สารกาแฟและน้ำร้อนถูกผสมกวนเข้าด้วยกันภายในแทงค์ จากนั้นจะถูกเหวี่ยงเพื่อแยกเอาน้ำกาแฟออก เป็นวิธีที่ทำให้ได้น้ำกาแฟที่มีคุณภาพสูง แต่เครื่องจักรที่ใช้ก็มีราคาสูงตามไปด้วย ส่วนมากนิยมใช้สำหรับการทำกาแฟที่ต้องการให้ได้รสชาติสมบูรณ์แบบมากที่สุด และดูเหมือนว่าจะสามารถทำให้เกิดรูปแบบผงกาแฟบดละเอียดสูงสุดได้ สล็อต เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์ เล่นฟรี สล็อตไม่มีขั้นต่ำ