5 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อรสชาติของกาแฟดริป
1. อัตราส่วนปริมาณกาแฟต่อน้ำ
- จะปริมาณกาแฟที่ใช้กับปริมาณน้ำที่ใช้ในการดริป (Drip) นั้นเป็นสิ่งแรกที่กำหนดรสชาติของกาแฟ ซึ่งถ้าใช้ปริมาณน้ำมากกาแฟก็จะจางแต่ถ้าใช้ปริมาณน้ำน้อ และกาแฟก็จะเข้มข้น
- ในอัตราส่วนที่เราแนะนำคือประมาณกาแฟ 1 กรัม ต่อน้ำ 15 ถึง 17 กรัม จะสามารถปรับปริมาณของน้ำต่อกาแฟได้ถ้าต้องการกาแฟที่รสชาติจัดจ้าน ก็จะสามารถใช้น้ำน้อยกว่า 15 กรัมได้ หรือถ้าอยากได้กาแฟรสชาติบางๆ และก็สามารถใช้น้ำมากกว่า 17 กรัมได้

2. ลักษณะของ Dripper
2.1 มีลักษณะของตัวกรอง Dripper นั้นสามารถแบ่งได้สามแบบใหญ่ๆ คือใช้ตัวกรองเป็น กระดาษ, ผ้า, และ ตัวกรองแบบเป็นโลหะ ซึ่งโดยลักษณะของ Dripper แต่ละแบบมีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกัน
- ซึ่งเนื่องจากรูของตัว Dripper มีขนาดใหญ่ทำให้น้ำมันกาแฟจากกาแฟสามารถสกัดออกมาได้เยอะกว่า และจะมีข้อเสียคือมีผงกาแฟเล็กๆปนอยู่ในแก้ว
- สำหหรับกาแฟที่ได้จึงมีรสชาติกลมกล่อม แต่มีความขุ่นมากกว่าแบบกระดาษ
- มีตัวกรองกระดาษ
- ซึ่งเนื่องจากกระดาษมีรูปขนาดเล็กกว่าโลหะ ทำให้สามารถกรองผงกาแฟละเอียดได้ดีกว่า
- ดังนั้นกาแฟที่ได้จึงใสและรสชาติชัดเจนกว่า
2.2 ด้านของการไหลของน้ำ (Flow Rate) Dripper ซึ่งจะมีลักษณะของรูที่ให้น้ำไหลออกอยู่หลากหลายรูปแบบ บางแบบมีเป็นรูขนาดเล็กหนึ่งรู บางแบบเป็นรูขนาดเล็กหลายรู หรือ บางแบบเป็นรู ขนาดใหญ่ หรือถ้าเป็น Dripper และโลหะการไหลของน้ำก็จะไวกว่าแบบกระดาษ
ซึ่งถ้าการไหลของน้ำช้าหรือไว อาจจะจำเป็นต้องปรับขนาดบดกาแฟ และให้เหมาะสมกับลักษณะของ Dripper

3. ขนาดบด
- ในขนาดบดของเมล็ดกาแฟที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่หลายปัจจัย ได้แก่รสชาติที่ต้องการ และลักษณะของ Dripper
- มีลักษณะของ Dripper ที่ใช้มีรูขนาดเล็กซึ่งทำให้น้ำไหลช้า และยิ่งบดกาแฟละเอียดก็จะทำให้มีรสชาติที่เข้มข้นหนักแน่น แต่ซึ่งถ้าบดหยาบจะทำให้รสชาติของกาแฟนั้นมีรสชาติที่จางกว่า
- ซึ่งด้านซ้ายคือบดละเอียด กับ ด้านขวาคือบดหยาบ
4. การเทน้ำ และ ระยะเวลา

- ซึ่งนอกจากลักษณะของ Dripper และจะส่งผลต่อการไหลของน้ำ (Flow rate)
- ในการเทน้ำก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลการไหลของน้ำ ซึ่งโดยจะแสดงออกมาเป็นระยะเวลาที่ใช้ในการชง
- ถ้าใช้ระยะเวลาในการชงนานแสดงว่าน้ำไหลช้า และกาแฟก็จะเข้มอาจจะขมได้
- ถ้าใช้ระยะเวลาในการชงสั้นแสดงว่าน้ำไหลไวกาแฟ ซึ่งก็จะจางมีรสเปรี้ยวที่เด่นมากขึ้น
5. อุณหภูมิ

- ซึ่งยิ่งอุณหภูมิสูงก็จะทำให้กาแฟมีรสเข้มขึ้น และโดยอุณหภูมิเริ่มต้นที่แนะนำนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 92 ถึง 94 องศา
แล้ว Beans Here Drip กาแฟยังไง
- จะใช้กาแฟที่บดระดับกลางค่อนไปทางหยาบ
- จะใช้กาแฟทั้งหมด 20 กรัม ซึ่งใส่น้ำ 340 กรัม ถือว่าเป็นอัตราส่วน 1 : 17
- จะอุณหภูมิประมาณ 92-94 องศา
- จะอุปกรณ์ที่ใช้จะเป็น Cores C240 Metal Filter ซึ่งมีการออกแบบที่ทำให้น้ำไหลค่อนข้างไวดังนั้นเราจะ และแบ่งการเทน้ำเป็นทั้งหมด 5 ครั้ง
- ซึ่งโดยการชงของเราจะเสร็จสิ้นภายใน 3 นาที
ขั้นตอนที่ 1
- จะเทน้ำครั้งแรกทั้งหมด 60 กรัม ซึ่งพร้อมกับคนให้ผงกาแฟเปียกทั่วกันและรอประมาณ 40 วินาที (รวมน้ำทั้งหมด 60 กรัม)
ขั้นตอนที่ 2

- ในเมื่อครบ 40 วินาที เราก็จะเทน้ำลงไปอีก 60 กรัม และรออีก 40 วินาที (รวมน้ำทั้งหมด 120 กรัม)
ขั้นตอนที่ 3

- ในเมื่อเวลาครบ 1.20 นาที ทางเราก็จะเทน้ำลงไปอีก 60 กรัม และรออีก 40 วินาที (รวมน้ำทั้งหมด 180 กรัม)
ขั้นตอนที่ 4
- ในเมื่อเวลาครบ 2 นาที เราเทน้ำลงไป 80 กรัม และรอประมาณ 30 วินาที (รวมน้ำทั้งหมด 260 กรัม)
ขั้นตอนสุดท้าย

- ในเมื่อเวลาครบ 2.30 นาที เราจะเทน้ำลงไปอีก 80 กรัม และรอประมาณ 30 วินาที (รวมน้ำทั้งหมด 340 กรัม)
- ซึ่งรอจนน้ำหยดใกล้หมดจึงยก Dripper ออก และจากนั้นก็ทำการคนก่อนที่จะทำการเสิร์ฟ
- สุดท้ายจะได้กาแฟดริปอยู่ที่ประมาณ 300 กรัม
สำหรับผงกาแฟจะซับน้ำประมาณสองเท่าของน้ำหนักผงกาแฟในกรณีนี้คือใช้กาแฟ 20 กรัม ซึ่งดังนั้นผงกาแฟจะซับน้ำประมาณ 40 กรัม
แล้วถ้าเราแยกน้ำแต่ละครั้งออกมา

- ซึ่งถ้าเราแยกการเทน้ำแต่ละครั้งออกมาเป็นแต่ละแก้ว และก็จะพบว่าในแต่ละแก้วนั้นมีรสชาติที่ไม่เหมือนกัน โดยเราจะพบว่า มีรสชาติของกาแฟที่ออกมานั้นจะมีรสชาติที่เข้มข้นสุดในแก้วแรกและมีปริมาณน้ำกาแฟออกมาน้อยที่สุด ซึ่งความเข้มข้นของกาแฟนั้นจะค่อยๆลดลงจนถึงแก้วที่สาม
- ซึ่งในขณะที่รสชาติของกาแฟนั้นจะเหลือแค่น้ำจางๆ ในแก้วที่ 4 และแก้วที่ 5 สล็อต เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์ เปิดยูสเซอร์ฟรี ไม่มีขั้นต่ำ มีเกมพนัน ให้เลือก เดิมพัน หลายชนิด